บทความน่าอ่าน\แนวคิดดีๆ

ผมชอบบทความนี้มาก ก็เลยอยากให้ทุกท่านได้อ่าน ผมแอบก็อปไว้ในโน๊ตบุ๊คเก่าๆของผมนานแล้วตั้งแต่ จ๊อบ เสียชีวิตใหม่ๆ กลัวว่าบทความนี้จะหายไปกับความเก่าของโน๊ตบุ๊ค ผมก็เลยอัพโหลดลงในเวบของตัวเองดีกว่า เอาไว้อ่านเล่น อ่านแล้วมันทำให้ผมมีพลังในการสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่างที่ผมอยากทำ อ่านแล้วรู้สึกว่ามีตัวเองมีพลังมีแรงในการทำงานเพิ่มขึ้นไม่รู้ทำไม ใครก็ตามที่ตอนนี้หมดหวัง หรือต้องการแรงบันดาลใจเพื่อทำอะไรสักอย่าง ควรอ่านบทความนี้ครับ ขอบคุณเวบ sanook.com ที่่มีบทความดีๆให้อ่าน  ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสตีฟ จ๊อบ จึงประสบความสำเร็จ  ลองไปอ่านดูวิธีคิดของเขาครับ ดีมากเลย

เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่ Steve Jobsหนึ่งในผู้ที่เข้ามาปฏิวัติวงการ IT และยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Pixar บริษัทที่ทำอนิเมชั่นที่มีชื่อเสียงของโลก  วันนี้ จขกท มี เคล็ดลับการประสบความสำเร็จของเค้ามาฝากค่ะ

"เขาว่ากันว่ามีแอ็ปเปิ้ลสามลูกที่เปลี่ยนโลกใบนี้ แอ็ปเปิ้ลลูกแรกคือ ลูกที่อดัมและอีฟกินเข้าไป แอ็ปเปิ้ลลูกที่สองคือ ลูกที่ตกใส่หัวของเซอร์ไอแซ็ค นิวทัน ทำให้เขาค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก และแอ็ปเปิ้ลลูกที่สาม คือ แอ็ปเปิ้ลของสตีฟ จ็อบส์"

สตีฟ จ็อบส์ อุทิศชีวิตให้กับการคิดนอกกรอบ เขาทำให้เส้นกั้นอันหนาเตอะระหว่างสุนทรีย์แห่งความงามและความกระด้างแห่งวิศวกรรมกลายเป็นเพียงเส้นใยอันบางเบา ผลลิตทางความคิดนี้ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่พลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมดนตรี และขับเคลื่อนพลโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว เขาสมควรได้รับการยกย่องในฐานะนักประดิษฐ์แห่งสหัสวรรษที่สาม

ข้อคิดดีๆ ต่อไปนี้ คือผลพวงจากการตามติดชีวิตของเขา ทั้งในยามยากและยามรุ่งโรจน์ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการทำงาน ในชีวิตจริงเราคงอาจฝันถึงความเป็นสุดยอดเฉกเช่นเขา แต่จะเป็นจริงได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล อย่างไรก็ตามอย่างน้อยที่สุดการได้พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน ก็น่าจะพอแล้ว มาปลุกวิญญาณความเป็น สตีฟ จ็อบส์ในตัวเราด้วยกันเถอะ  

1. Beginners don’t have baggage – เริ่มอย่างไร้กังวล

เริ่มต้นเล็กแต่คิดใหญ่ ผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเริ่มจากศูนย์แล้วนับหนึ่ง จากเอแล้วไปบี มักเป็นคนที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ดีๆ “ผมไม่รู้คุณค่าของปรัชญานี้จนกระทั่งผมโดนเฉดหัวออกจากแอ็ปเปิ้ลครั้งแรก นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยทีเดียว ความกดดันในความสำเร็จถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกโปร่งโล่งสบายของการเป็นผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น ไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เป็นช่วงเวลาที่ผมมีความคิดสร้างสรรค์และมีไอเดียกระฉูดมากที่สุด”

2. Be bold – จงห้าวหาญ
สตีฟมักย้ำถึงการทำสิ่งที่ชัดเจนด้วยความกล้าและปราศจากความกลัว เขากล่าวว่า “ชีวิตคนสั้นนัก จะตายเมื่อไหร่ไม่รู้”

3. Be what’s next – มองหาสิ่งใหม่ มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นอยู่เสมอ จงเรียนรู้ อย่าฟูมฟายกับอดีตที่จบไปแล้ว อย่าคร่ำครวญกับสิ่งที่หายไป เราควรที่จะคิดถึงสิ่งใหม่ๆในชีวิตของเราที่ยังรอการค้นพบ บางครั้งก้าวแรกอาจจะแสนยาก แต่จงเริ่มต้นทำ และความกล้าหาญจะเกิดขึ้นตามมา “ถ้าผมได้บริหารแอ็ปเปิ้ล ผมคงจะมุ่งพัฒนาให้แม็คอินทอชเป็นผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าสุดๆ ด้วยการคิดค้นลูกเล่นใหม่ๆ สงครามพีซีมันจบนานแล้ว และไมโครซอฟท์คือผู้ชนะ”

4. Design by committee doesn’t work. – อย่าให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาตัดสินชี้ชะตา
มันเป็นเรื่องยากที่จะออกแบบอะไรซักอย่างตามความต้องการของพวกคนที่มานั่งประชุมกัน คนเราส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าอยากได้อะไรจริงๆ จนกว่าจะได้เห็นสิ่งนั้น”

5. Design is more than veneer – การออกแบบไม่ใช่การสร้างเปลือกนอกเพื่อห่อหุ้ม แต่มันคือสิ่งที่มีมิติและมีองค์ประกอบซ้อนกันหลายชั้น
“ในบริบทของใครหลายคน การออกแบบเป็นแค่การสร้างเปลือกนอก เป็นแค่การตกแต่งภายใน เปรียบเสมือนผ้าหุ้มโซฟา แต่สำหรับผมแล้ว การออกแบบคือจิตวิญญาณขั้นต้นของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์ที่มีหัวใจของการออกแบบที่ดีแสดงออกถึงพิ้นผิวของมัน ซึ่งทับซ้อนกันอยู่หลายระดับ”

6. Don’t live someone else’s life – จงใช้ชีวิตในแบบของคุณ
“ช่วงเวลาชีวิตสั้นนัก อย่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่าด้วยการทำตามผู้อื่น อย่ายึดติดกับกฎเกณฑ์ข้อบังคับ และอย่าปล่อยใจไปตามความคิดของคนอื่น เหนือกว่าสิ่งอื่นใด ทำตามที่หัวใจคุณเรียกร้องและสัญชาตญาณ”

7. Drive to do great things – ค้นหาความทะเยอทะยานและปรารถนาที่แท้จริงของคุณให้พบ
“นึกถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และทำมันให้แตกต่างจากคนอื่น หนทางเดียวที่จะสร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้ก็คือรักในสิ่งที่คุณทำ จงสร้างความประทับใจให้ตัวเองมิใช่ผู้อื่น”


8. Excellence is a way of life – มองหาความเป็นเลิศ
สตีฟได้บรรลุแนวทางนี้ด้วยการนำศิลปะและวิศวกรรมมาเรียงร้อยด้วยกันอย่างลงตัว เขาได้ยกระดับของสุนทรีย์แห่งการออกแบบให้สูงขึ้น “คุณภาพและความงามคือเป้าหมายสูงสุด หลายคนมักไม่คุ้นเคยกับสภาวะการทำงานที่ต้องอาศัยความเป็นเลิศ เพราะไม่ต้องใช้มันบ่อยนัก ถึงกระนั้นความเป็นเลิศคือหัวใจสำคุญที่สุดของการทำงาน”

9. Get out of the way for the moving force – จงอย่าเป็นตัวถ่วง

สตีฟไม่เคยเก็บคนไร้ประโยชน์เอาไว้ เขาตระหนักดีว่าคนที่ทำงานคือพวกที่สร้างประโยชน์ “หน้าที่หลักของผมคือทำให้คนที่ทำงานจริงๆ นั้นอยู่ดีมีสุข และเก็บพวกคนที่ไม่ทำงานเอาไว้ให้ห่างจากคนที่มีประโยชน์เหล่านี้”

10. If they fall in love with the company, everything else takes care of itself – มองหาคนทำงานที่มีความรักทุ่มเทให้กับองค์กร

“จริงอยู่ที่สมรรถภาพคือตัวแปรแห่งความสำเร็จ แต่คนทำงานเหล่านั้นจะรักบริษัทหรือเปล่า ผมเชื่อมั่นว่าถ้าเขารักแอ็ปเปิ้ล เขาจะนำพาแต่สิ่งที่ดีที่สุดมาสู่แอ็ปเปิ้ล ไม่ใช่ทำเพื่อตัวผมหรือตัวเองหรือใครก็ตาม”

11. It better be worth it. – ไม่ลองไม่รู้ จงทำให้ดีที่สุด อย่ามัวแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่

“เมื่อเราได้เลือกแล้วว่าจะทำอะไร ฉะนั้นจงเชื่อว่ามันจะออกมาดีคุ้มค่าเหนื่อย”

12. It’s not the money.  It’s the impact.- เงินไม่ใช่คำตอบของชีวิต คุณค่าของเราอยู่ที่การได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่โลก
“ผมไม่แคร์หรอกว่าจะได้นอนกอดเงินเป็นล้านอยู่ในหลุมศพ สิ่งสำคัญสำหรับผมคือการได้ระลึกถึงสิ่งดีงามที่เราได้ทำลงไปก่อนเข้านอน”

13. It’s the crazy ones who change the world – จงคิดนอกกรอบ
กล้าทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น คนที่บ้าพอที่จะทำในสิ่งที่ไม่เหมือนใครสามารถเปลี่นแปลงโลกได้ เพราะสิ่งนั้นคือผลพวงของอัจฉริยะ

14. Innovation distinguishes between a leader and a follower.- สร้างนวัตกรรมใหม่
นวัตกรรมจะเป็นตัวชี้วัดว่าใครเป็นผู้นำ ใครเป็นผู้ตาม จ้างคนที่ต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดในโลกมาทำงาน ถึงแม้คุณจะมีคนทำงานเก่งกาจมากมาย คุณต้องเป็นผู้นำ ทำหน้าที่ชี้นำให้พวกเขาทำงานร่วมกันเป็นทีม “นวัตกรรมไม่ได้เกิดจากการหว่านเม็ดเงิน มันเกิดจากการใช้มันสมองของคนให้เต็มที่ด้วยการเป็นผู้นำที่ดี ตอนที่เราคิดค้นเครื่องแม็คขึ้นมา ไอบีเอ็มใช้เงินลงทุนมากกว่าเรา 100 เท่า มันอยู่ที่คนของคุณ อยู่ที่แนวทางของการนำพาคนเหล่านั้น”

15. Make people great. – เคี่ยวเข็ญคนของคุณให้เป็นคนเก่ง
“ผมจะไม่ทำตัวเหลาะแหละกับลูกน้อง หน้าที่ผมคือเขี่ยวเข็ญให้พวกเขาเก่งยิ่งขึ้นไปอีก”

16. Perseverance pays off.- ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น

สตีฟเชื่อว่า “ครึ่งหนึ่งขององค์ประกอบทั้งมวลแห่งความสำเร็จของพวกนักลงทุนทางการเงินคือความวิริยะอุตสาหะ”

17. Put your heart and soul into it – จงทำมันให้เต็มที่ เพราะเป้าหมายมีไว้พุ่งชนและพิชิต

“กุญแจสำคัญคือความไม่กลัว ทำงานด้วยหัวใจและจิตวิญญาณแห่งการบรรลุเป้าหมาย”

18. Pick your priorities carefully – ลำดับความสำคัญอย่างระมัดระวัง

การมีไอเดียดีๆ ในหัวเป็นร้อยเรื่องคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่มันจะกลายเป็นเรื่องเยี่ยมที่สุด หากเราลำดับความสำคัญให้ดี “การเพ่งความสนใจให้กับทุกเรื่องในหัวเป็นสิ่งดี แต่นั่นไม่ใช่คำตอบแห่งความสำเร็จ ควรยึดมั่นในบางอย่างก็พอ แล้วปล่อยที่เหลือเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจ”

19. Simplicity wins – ความเรียบง่ายคืออาวุธลับและอำนาจที่จะทำให้พิชิตความสำเร็จ

“เราควรตรวจสอบขั้นตอนการทำงาน และขจัดความยุ่งยาก ด้วยการตั้งคำถามว่า เราจะทำให้มันเรียบง่ายมากขึ้นและแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นได้ในเวลาเดียวกันได้หรือไม่”

20. Talent is a huge multiplier.- พรสวรรค์ทำให้เกิดการแตกหน่อ คนเก่งมักดึงคนเก่งให้มาอยู่ด้วยกัน
“ประสบการณ์สอนผมว่า การที่เราได้คนเก่งมาร่วมงาน ทำให้องค์กรสามารถดึงคนเก่งจากที่อื่นมาร่วมงานได้มากขึ้น  ทั้งนี้โดยธรรมชาติของคนพวกนี้ มักชอบทำงานกับคนเก่งด้วยกัน”

21. Take responsibility for the complete user experience.- ความคิดเห็นจากผู้ใช้และลูกค้าคือเสียงสำคัญ
“ดีเอ็นเอของเราคือบริษัทที่คำนึงถึงผู้บริโภค เสียงตอบรับไม่ว่าดีหรือร้าย บวกหรือลบ ล้วนแล้วแต่มีบทบาทเท่ากันในการปรับปรุงการให้บริการ หน้าที่ของเราคือการรับผิดชอบต่อสิ่งที่ลูกค้าได้รับจากเรา”

22. What you don’t do defines you as much as what you do – “ผมมีความภูมิใจในสิ่งที่ยังไม่ได้ลงมือทำเท่ากับสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว”

23. You have nothing to lose.- ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว

ทำด้วยใจ สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ด้วยความรัก “อีกไม่กี่วันพวกเราก็ตายแล้ว ฉะนั้นอย่าไปคิดว่าเราได้สูญโอกาสไปแล้วเท่าไหร่ การคิดแบบนี้เหมือนกับดักทางความคิด ให้คิดว่าเราได้เปลือยกายจนล่อนจ้อน จะมีเหลืออยู่ก็แต่ร่างกายและหัวใจ จงทำทุกอย่างให้เต็มที่”

24. You just might be right, even if nobody listens to you. -การที่ไม่มีใครฟังคุณ ไม่ได้หมายความว่าคุณผิด
สทีฟเคยเจอกับตัวเอง เลยเล่าให้ฟังงว่า “คุณรู้มั้ย ผมเคยมีแผนการวิเศษที่จะช่วยกู้ชีพแอ็ปเปิ้ลได้ มันเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ผมไม่สามารถบอกใครได้ เพราะไม่มีใครยอมฟัง” อุทาหรณ์ของเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การที่ไม่มีใครฟังคุณเลย ไม่ได้หมายความว่าคุณผิด


25. Your brand is your most valuable asset – จุดยืนของตัวเองคือสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด
นั่นคือคุณแตกต่างจากคนอื่น ทำให้คนอื่นทราบว่านี่แหละคือตัวคุณ นี่แหละคือออร่าของคุณ

 

รายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของ

โลก ( รองจากบิล เกตส์) ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศล 31,000 ล้านดอลล่าร์

ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา:

1. เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป! 
2. เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์ 
3. เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม 
4. เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน 
5. เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก 
6. บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ
7. เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ 
กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย 
กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1
8. เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์
9. บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์
10. วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน
11. เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า: จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง

ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย ๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง
๑. มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม 1 มื้อ เท่ากัน
๒. มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน
๓. มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน
๔. มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน
มองทะลุวัตถุนิยม และเห็นความหมายที่แท้จริงของชีวิต 

การที่เพเรลมัม ได้รับรางวัลจากการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเงินรางวัลที่เขาได้รับนั้นมากเหลือเกิน แต่เพเรลมัม ไม่

สนใจไม่แยแสกับเงินรางวัลนั้นเลย หลายคนมองว่าคนบ้าหรือเปล่า หรือว่าเขาโง่หรือเปล่าแต่สำหรับผมคิดว่าเขาไม่ได้บ้าและก็ไม่ได้โง่ แต่เขาอาจจะมีมุมมองหรือแนวความคิดที่แตกต่างกับคนส่วนใหญ่ในสังคม แต่ถ้าเราลองมองในทางพุทธศาสนาแล้ว พาเรลมัม ไม่สนใจเงินทองรักความสันโดษ รักอิสระ นั่นก็คือเขาสามารถละกิเลสที่หลายๆคนยังทำไม่ได้ผมว่าเขาไม่บ้าน่ะ แต่เขาคือ  "ผู้หลุดพ้น"

หากจะค้นหานักคณิตศาสตร์ที่ทำงานเพื่อคณิตศาสตร์จริงๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ “กริกอรี เพเรลมัน” คือคนที่เราสมควรกล่าวถึงเป็นคนแรกๆ เพราะเขาปฏิเสธรางวัลอันทรงเกียรติของชาวคณิตศาสตร์ไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว และปีนี้ยังลังเลว่าจะรับรางวัลเกียรติยศจากสหรัฐฯ หรือไม่ หลังจากพิสูจน์ปัญหา 1 ใน 7 แห่งศตวรรษได้


ทั้งๆ ที่ไม่มีงานทำ และอาศัยอยู่กับแม่วัยชราในรัสเซีย แต่ “กริกอรี เพเรลมัน” (Grigory Perelman) นักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซียวัย 43 ปี กลับลังเลว่าเขาต้องการเงินจากรางวัลมิลเลนเนียมไพรซ์ (Millennmium Prize) ซึ่งมอบให้โดยสถาบันคณิตศาสตร์เคลย์ แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Clay Mathematics Institute of Cambridge) รัฐแมสสาชูเสตต์ สหรัฐฯ หรือไม่

“เขาบอกว่าต้องพิจารณาก่อน” เอพีระบุคำให้สัมภาษณ์ของ เจมส์ คาร์ลสัน (James Carlson) จากสถาบันเคลย์ ผู้โทรศัพท์ไปแจ้งข่าวแก่เพอเรลมัน ซึ่งคำตอบที่ได้รับนั้น ไม่ได้สร้างความแปลกใจแต่อย่างใด เพราะเพเรลมันเคยปฏิเสธรางวัลใหญ่ของวงการคณิตศาสตร์อย่าง “ฟิลด์สมีดัล” (Fields Medal) มาแล้ว

เมื่อปี 2006 เพเรลมันกลายเป็นข่าวใหญ่ เมื่อเขาเลือกอยู่บ้านเฉยๆ ในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก รัสเซีย แทนการเข้ารับรางวัลฟิลด์สมีดัลที่กรุงมาดริด สเปน ทั้งๆ ที่รางวัลดังกล่าวเสมือนรางวัลโนเบลของวงการคณิตศาสตร์ ซึ่งมอบให้นักคณิตศาสตร์ในทุกๆ 4 ปี และไม่เคยมีใครปฏิเสธรางวัลมาก่อน

สำหรับรางวัลใหม่นี้เพเรลมันบอกกับสื่อโทรทัศน์ท้องถิ่นว่า เขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะรับเงินรางวัลมูลค่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 33 ล้านบาทนี้หรือไม่ แต่สถาบันเคลย์ จะได้ทราบเรื่องนี้ก่อนใคร

“ผมรู้ว่าเวลานี้เพเรลมันกำลังใช้ความคิดว่าจะรับเงินรางวัลหรือไม่ ซึ่งเขายังพอมีเวลาอยู่บ้าง” เอพีรายงานความเห็นของเซอร์เก รุกชิน (Sergei Rukshin) ครูสอนคณิตศาสตร์ของเพเรลมันสมัย ม.ปลาย ซึ่งพิธีมอบรางวัลมิลเลนเนียมไพร์ซจะมีขึ้นในเดือน มิ.ย.นี้

ครูคณิตศาสตร์ของเพเรลมันบอกอีกว่า ตอนนี้ลูกศิษย์ของเขาว่างงานมา 4 ปีแล้ว แต่กลับปฏิเสธงานที่เสนอมาทั้งหมด โดยก่อนหน้านั้นลูกศิษย์เขาเคยทำงานที่สถาบันคณิตศาสตร์สเตคลอฟ (Steklov Mathematics Institute)

“หลังจากที่สื่อให้ความสนใจจำนวนมาก เขาก็ไม่ต้องการที่จะกลายเป็นบุคคลสาธารณะและไม่อยากจะดูเหมือนสัตว์ในสวนสัตว์”รุกชินกล่าว และบอกว่าเขาพยายามกระตุ้นให้เพเรลมันยอมรับเงินรางวัลนี้ เพื่อเลี้ยงชีพตัวเองและมารดาที่ชราภาพ

หากแต่ในทางเทคนิค ถือว่าเพเรลมันได้รับรางวัลนี้แล้ว ตามการตัดสินของคณะกรรมการ ส่วนจะรับเงินหรือไม่นั้น คาร์ลสันกล่าวว่าขึ้นอยู่กับตัวเพเรลมันเอง แต่ตัวแทนจากสถาบันเคลย์ได้ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่า จะทำอย่างไรกับเงินกว่า 30 ล้านบาทถ้าเพเรลมันไม่ยอมรับ

ขณะเดียวกันกลุ่มต่างๆ ในรัสเซีย ซึ่งรวมถึงพรรคคอมมิวนิสต์เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St.Petersburg Communist Party) ได้อ้อนวอนผ่านสื่อ ให้เพเรลมันรับเงินรางวัลดังกล่าวและมอบให้แก่พวกเขา เพื่อนำไปใช้ต่อสู้กับความยากจนต่อไป หากเขาไม่ต้องการเงินก้อนนั้นเพื่อตัวเอง

ทั้งนี้เพเรลมันได้รับการยกย่องจากการพิสูจน์ปัญหา “การคาดการณ์ของปวงกาเร” (Poincare Conjecture) เป็นปัญหาในค้นหาว่า จักรวาลมีรูปร่างอย่างไร และเป็นปัญหาที่ได้รับการคัดเลือกจากสถาบันเคลย์ให้เป็น 1 ใน 7 ปัญหาคณิตศาสตร์แห่งศตวรรษเมื่อปี 2000

ผู้ที่แก้ปัญหาได้ จะได้รับรางวัลมิลเลนเนียมไพรซ์ พร้อมเงินรางวัลมูลค่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 30 ล้านบาท และการคาดการณ์ปวงกาเรนี้ เป็นปัญหาแรกที่ได้รับการพิสูจน์ โดยเพเรลมันพิสูจน์ได้ในปี 2002 แต่ต้องใช้เวลาหลังจากนั้นอีก 3 ปีเพื่อพิสูจน์ว่าเขาถูกต้อง

เนื่องจากเพเรลมันไม่ต้องการออกสื่อ จึงมีข้อมูลเกี่ยวกับเขาน้อยมาก และอาศัยข้อมูลจากคนรอบตัวเขา ครั้งหนึ่งสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคของญี่ปุ่นเคยไปทำสารคดีเกี่ยวกับนักคณิตศาสตร์ผู้นี้ถึงรัสเซีย และได้พบเพียงร่องรอยของเขา ขณะที่เพื่อนบ้านของเพเรลมันเองยังมีโอกาสได้พบตัวจริงของเขาเพียงไม่กี่ครั้งในรอบหลายปี

ทามาระ เยฟิโมวา (Tamara Yefimova) ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมปลายของเพเรลมัน และได้รู้จักเขาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนให้ข้อมูลแก่เอพีว่า ช่วง ม.ปลาย เพเรลมันจัดเป็นนักเรียนอัจฉริยะที่สุด และเคยเป็นตัวแทนไปแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก คว้าเหรียญทองมาได้ แต่เขากลับไม่ได้เหรียญทองจากการเรียน เพราะไม่ได้คะแนนสูงสุดในการเรียนวิชาพลศึกษา

หลังจากเรียนจบมัธยมแล้วเพเรลมันได้เข้าเรียนคณิตศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเลนินกราดสเตท (Leningrad State University) และศึกษาวิศวกรรมเครื่องกลที่สถาบันคณิตศาสตร์สเตคลอฟ เคยทำงานอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง แต่ปัจจุบันว่างงาน เพราะต้องการใช้เวลากับการคิดแก้ปัญหาโจทย์ทางคณิตศาสตร์

ต้องติดตามดูกันต่อไปว่า "พาเรลมัน" นักคณิตศาสตร์ผู้ชาญฉลาดและเก็บเนื้อเก็บตัวผู้นี้ จะตัดสินใจยอมรับเงินรางวัลอันยิ่งใหญ่าครั้งนี้หรือไม่

ชื่อเรื่อง  "อัจฉริยะเก็บขยะ"

ขอบคุณภาพ:www.kapook.com

ชื่อเรื่อง  "อัจฉริยะเก็บขยะ" เป็นชื่อเรืองที่ผมตั้งขึ้นมาเองน่ะครับ ไม่รู้จะตั้งชื่ออะไรเหมือนกัน แต่ผมนับถือเขาจริงๆ ครับ

เขาสุดยอดน่ะผมว่าอันนี้ผมคิดเองเออเองน่ะครับ ผมอ่านเรื่องราวของเขาแล้วชีวิตของเขาน่าศึกษามากๆเลยครับ ผมก็เลยเอามาลงไว้อ่านเล่นๆ เพื่อเพิ่มพลังในการทำงานให้กับตัวเองครับ  ชีวิตเขาเป็นยังไงไปอ่านกันเลยครับ  สุดยอด

คนเก็บขยะอัจฉริยะนักเล่นหุ้น ทิ้งมรดกไว้ให้ญาติล้านปอนด์

เชื่อหรือไม่ว่าชายเร่ร่อนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บกระป๋องขาย และคุ้ยหาเศษอาหารตามถังขยะกิน จะมีมรดกติดตัวมากถึง 1 ล้านปอนด์

เคิร์ด เดเจอร์มัน หรือชื่อเล่นว่า ทินแคนเคิร์ด ไม่ใช่คนเก็บขยะธรรมดา ๆ แต่เขารู้จักนำเงินอันน้อยนิดที่ได้จากการขายขยะไปลงทุนในตลาดหุ้น

คนที่เคยเห็นเคิร์ดอาจไม่เชื่อว่าเขาเป็นนักเล่นหุ้นตัวยง เพราะภาพที่ผู้คนในเมืองสเกลเลฟทีของสวีเดนเห็นจนชนตา ก็คือเคิร์ดในชุดเสื้อแจ็กเกตสีน้ำเงินสกปรก ๆ และกางเกงขาดรุ่งริ่ง

เคิร์ดใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและมัธยัสถ์ จนใคร ๆ อาจไม่รู้ว่าหลังตระเวนเก็บขวดเสร็จแล้ว เขาได้เจียดเวลาไปที่ห้องสมุดประจำเมืองทุกวันเพื่ออ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจ

"เขาไปที่ห้องสมุดทุกวัน เพราะไม่อยากเสียตังค์ซื้อหนังสือพิมพ์เอง เขาศึกษาเรื่องหุ้นจนรู้ลึกและรู้จริง" ญาติคนหนึ่งเปิดเผยกับนักข่าว หลังเคิร์ดเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายในวัย 60 เมื่อปี 2551

หลังเคิร์ดลาโลก ญาติ ๆ ค้นพบว่าเขามีหุ้นอยู่มากมาย รวมมูลค่าแล้วกว่า 700,000 ปอนด์ นอกจากนี้ เขายังมีทองแท่งอีก 124 แท่ง คิดเป็นงาน 250,000 ปอนด์ ซื้อบ้านเก็บไว้ 1 หลัง และมีเงินในบัญชีธนาคารอีก 4,000 ปอนด์ แถมมีเศษตังค์เก็บไว้อยู่ในบ้านเกือบ 300 ปอนด์ด้วย

เคิร์ดเขียนพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ญาติคนหนึ่งที่มาเยี่ยมเขาเป็นประจำก่อนจะสิ้นลม แต่ตามกฎหมายสวีเดน อาของเขาเป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์รับมรดก

หลังต่อสู้ทางกฎหมายกันมานานเพื่อแย่งชิงมรดกก้อนโต ล่าสุดญาติคนนั้นและอาของเคิร์ดตกลงกันได้แล้วว่าจะแบ่งทรัพย์สินกันยังไง แต่ในข่าวไม่ได้อธิบายรายละเอียด

 

เห็นไหมว่าฃีวิตเขาไม่ธรรมดาจริงครับ นับถื่อนับถื่อ  เก็บขยะแล้วเอาเงินที่เก็บขยะไปลงทุนซื้อหุ้น รวยมีเงินเป็นล้านปอนด์  ที่น่าสนใจคือเขา ศึกษาการเล่นหุ้นเองนี้แหล่ะสุดยอดมากเลย นับถื่อจริงๆ  สัญญาได้เลยว่าหลังจากวันนี้ไปต้องไปถอยหนังสือหุ้นมาอ่านสักเล่ม เผื่่อจะได้ล้่านปอนด์ 55555  ไปซื้อก่อนน่ะครับ......  หวังว่าบทความนี้จะช่วยเติมพลังให้กับผู้อ่าน น่ะครับ  ใครที่คิดจะทำอะไรก็ขอให้ บทความนี้เป็นแรงดันในการช่วยพลักดันให้มีพลังในการทำงานให้ประสบความสำเร็จน่ะครับ  สู้ๆๆ  ขอขอบคุณบทความดีๆจาก www.kapook.com

 

 

อันนี้ถือว่าเป็นแนวคิดของ บุคคลระดับโลกน่ะครับ ลองอ่านและตีความดีๆน่ะครับ อ่านผ่านๆไม่ได้น่ะต้องตี

ความด้วยแล้วท่านจะเห็นอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นลายแทงสู่ความสำเร็จก็ได้ หรือบางที่อาจจะเป็นแนวทางสู่ความร่ำรวย ลองอ่านดูน่ะครับ

Derivatives are financial weapons of mass destruction.
ตราสารอนุพันธ์(วอแรนท์ ออบชัน ฟิวเจอร์) คืออาวุธทางการเงินที่ทำความเสียหายได้มากมาย

I always knew I was going to be rich. I don’t think I ever doubted it for a minute.
ผมรู้มาตลอดว่าผมจะรวย ผมไม่เคยสงสัยในคความเชื่อมั่นนี้แม้แต่นาทีเดียว

I buy expensive suits. They just look cheap on me.
ผมก็ซื้อสูทราคาแพงนะ แต่พอผมใส่แล้วมันเลยดูราคาถูกเองน่ะ

I don’t look to jump over 7-foot bars: I look around for 1-foot bars that I can step over.
ผมไม่คิดจะกระโดดข้ามบาร์กระโดดที่สูงสองเมตรหรอกนะ ผมจะมองหาอันที่มันสูง30เซน แล้วค่อยข้ามอันนั้นแทน

I never attempt to make money on the stock market. I buy on the assumption that they could close the market the next day and not reopen it for five years.
ผมไม่เคยพยายามที่จะทำเงินจากตลาดหุ้น ทุกครั้งที่ซื้อผมจะคิดว่าวันพรุ่งนี้ตลาดจะปิดไปอีกห้าปี

If a business does well, the stock eventually follows.
ถ้าธุรกิจไปได้ดี หุ้นก็จะไปได้สวย

If past history was all there was to the game, the richest people would be librarians.
ถ้าทุกอย่างมันเป็นไปตามอดีตที่เคยเกิดขึ้นแล้วล่ะก็ คนที่รวยที่สุดก็ควรจะเป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุดแล้วล่ะ

It’s far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price.
จะดีกว่าถ้าเราซื้อบริษัทมหัศจรรย์ในราคาที่ยุติธรรม ดีกว่าซื้อบริษัททั่วๆไปในราคามหัศจรรย์

Only when the tide goes out do you discover who’s been swimming naked.
ตอนที่คลื่นลมสงบแล้วเท่านั้นแหละ ที่จะรู้ว่าใครแก้ผ้าอยู่ใต้น้ำ

Price is what you pay. Value is what you get.
ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย คุณค่าคือสิ่งที่คุณได้รับ

Risk comes from not knowing what you’re doing.
ความเสี่ยง คือการที่คุณไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

Rule No.1: Never lose money. Rule No.2: Never forget rule No.1.
กฏข้อแรก คือ อย่าขาดทุน กฏข้อสอง คือ อย่าลืมกฏข้อแรก

Someone’s sitting in the shade today because someone planted a tree a long time ago.
เมื่อเรานั่งอยู่ใต้ร่มไม้ ก็เพราะใครสักคนได้ปลูกต้นไม้ไว้เมื่อนานมาแล้ว

The investor of today does not profit from yesterday’s growth.
นักลงทุนในวันนี้ ไม่ได้ทำกำไรจากการเติบโตของเมื่อวาน

The only time to buy these is on a day with no “y” in it.
วันที่เหมาะสำหรับการซื้อ คือ…วันที่ไม่มีตัว ว เลย